welcome

welcome
✿ Welcome to my wonderful blog by pinkmimi ✿

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

❥..อาหารคลีน กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน

อาหารคลีน กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน
เห้ยยยยย จริงดิ จริงรึเปล่า ?
แล้วมันคืออาหารอะไรกัน ? ทำไมกินแล้วไม่อ้วน ?
เรามาดูรูปร่างหน้าตาของอาหารคลีนคร่าว ๆ กันก่อน






 สำหรับใครที่ดูรูปแล้วไม่เข้าใจว่าอาหารคลีนคืออะไร ?
เรามีคำตอบค่ะ

อาหารคลีน  คือ อาหาร และการเลือกกินอาหารที่
ผ่านการปรุงแต่งน้อยที่สุด ผ่านการปนเปื้อนน้อยมาก
ไปจนถึงขั้นไม่มีสารปนเปื้อนใด ๆ ติดมากับอาหารเลย 
เน้นความเป็นธรรมชาติให้ได้มากที่สุด ดัดแปลงน้อยที่สุด 
เพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์จากธรรมชาติ 
และสารอาหารอย่างครบถ้วน


เราขอพูดในฐานะคนหนึ่งที่ทานอาหารคลีนนะคะ
เราคิดว่าอาหารคลีน เป็นอาหารที่กินได้ในปริมาณมาก ๆ
แต่ไม่อ้วนเลย !! เพราะอาหารคลีน
เป็นอาหารที่มีประโยชน์สุด ๆ
เพราะอาหารคลีนเป็นจำพวก
ผัก ผลไม้สด ๆ ธัญพืช อาหารที่ไม่ผ่านการขัดสี 
จำพวกข้าว แป้ง น้ำตาล อาหารที่ไม่ปรุงรสจัด 
ทั้งรสหวานจากน้ำตาล หรือรสเค็มจากการเติมเกลือ และน้ำปลา 
รวมไปถึงเครื่องปรุงรสใด ๆ ที่ทำให้อาหารมีรสผิดไปจากธรรมชาติ
และสามารถทำได้หลากหลายเมนูอีกด้วย
และเราก็เอาเมนูเล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝากเพื่อน ๆ กันด้วยค่ะ







ขอบคุณเมนูจาก Page 

เราคิดว่า ใครที่กำลังลดน้ำหนักอยู่
อย่าอดอาหารเลยนะคะ
เพราะอาหารมีประโยชน์มาก ๆ
ลองทานอาหารคลีนดูนะคะ ช่วยได้มากจริง ๆ
และทานได้มากตามต้องการด้วยค่ะ
ทั้งอิ่มท้อง ทั้งสุขภาพดีด้วย :)

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องแบ่งเวลาไปออกกำลังกายกันด้วยนะคะ
เพื่อสุขภาพที่ดีและแข็งแรงค่า

มาเริ่มทานอาหารคลีนกันเถอะค่ะ
สำหรับใครที่มีเมนูคลีน ๆ อยากจะแชร์กัน
ก็มาแชร์กันได้เลยนะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันน้า
วันนี้ขอลาไปก่อนค่ะ บ๊ายบายยยย

❥..ประสบการณ์จากการเป็นครูฝึกสอน

ทักทายยามบ่ายวันใหม่ค่ะ
ก่อนจะหมดวันหยุดพักผ่อนไป
เรามีประสบการณ์มาแชร์ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกันดูนะคะ
เรื่องมีอยู่ว่า ช่วงปิดเทอม 6 เดือนของเรานั้น
เราได้มีโอกาสไปเป็นครูฝึกสอนที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง
วันแรกของการไปฝึกสอน เราต้องไปช่วยดูแลเด็กอนุบาล 1
ซึ่งเปิดเทอมก่อนเด็กประถม 2 วัน
เป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยและท้อสุด ๆ
เราต้องทำทุกอย่างทั้งป้อนข้าว ป้อนน้ำ ปูที่นอน
ถือกระเป๋า เช็ดนู่นเช็ดนี่
ตอนแรกเราเกือบถอดใจไม่ฝึกสอนแล้วด้วย
แต่เราก็คิดว่า ไม่เป็นไร อดทนหน่อย สู้ ๆ
แล้วเราก็ผ่านมันมาได้

เราคิดว่าคนที่จะมาเป็นครูอนุบาลได้นั้น
ต้องมีความอดทน และรักเด็กจริง ๆ
สิ่งแรกที่เราทำเมื่อฝึกงานในช่วงแรกคือ
ทำไงก็ได้ ไม่ให้เด็กร้องไห้ !!!
โอ้ย อยากกรีดร้อง มันยากมากกกกก
ต้องเข้าใจนะคะ ว่าเด็กอนุบาลจะร้องไห้เวลามาเรียน
เราต้องโอ๋ และพยายามหาของเล่นให้เล่น
ชวนเด็ก ๆ เต้นด้วย ><


ช่วงพักกลางวันหลังกินข้าวเสร็จ
ก็ต้องปูที่นอนให้เด็กเกือบ 30 คน เหนื่อยมาก
เรานั่งเล่านิทาน เพื่อกล่อมเด็กให้หลับค่ะ


หลับกันแล้วววววว


เจอท่านอนเด็กคนนี้แล้ว ชอบมาก 55555


ตอนเย็น ๆ เราจะต้องสอนเด็กร้องเพลง
และเริ่มหัดเขียนหนังสือ โยงเส้น และระบายสี



เราลืมความเหนื่อยไปเลย เมื่อเจอรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ


ระหว่างรอผู้ปกครองมารับ เราก็นั่งเล่านิทานให้เด็ก ๆ ฟัง


ถึงแม้เราจะได้สอนอนุบาลเพียงแค่ 2 วัน แต่เราได้อะไรเยอะมาก
ในความคิดเรา คือ ครูอนุบาลจะต้องเป็นครูที่เอนเตอร์เทรนเก่งมาก ๆ
มีเทคนิคการสอนที่สนุก ควบคุมเด็กอยู่
และที่สำคัญ คือ ต้องมีใจรักจริง ๆ
เพราะงานหนักและเหนื่อยมาก
เพราะการดูแลเด็กเล็ก ๆ เกือบ 30 คนได้นั้น เป็นเรื่องยากจริง ๆ


หลังจากนั้นเราก็ต้องไปสอน ป.4
เราไปเป็นครูประจำชั้น และสอนวิชาหลักคือภาษาไทย
ในวันแรกเราแนะนำตัวให้กับเด็กนักเรียน
และเริ่มสอนเล็ก ๆ น้อย ๆ
มีครูประจำชั้นคอยเทรนให้เราตลอดในช่วงแรก ๆ
หลัง ๆ เราจะต้องเป็นครูจริง ๆ สอนคนเดียว
ช่วงแรกที่สอนคนเดียว เราเหนื่อยสุด ๆ
ท้อมาก เพราะเด็กไม่ฟังเลย
จนเราได้ทริคเล็ก ๆ จากประสบการณ์การสอนของเรา
คือ เราจะต้องสอนไปด้วย สอดแทรกเกมเล็ก ๆ
และกฎเล็ก ๆ ไว้ด้วย
จนหลัง ๆ เด็กเชื่อฟังและตั้งใจเรียนมาก ๆ
ไม่คุยไม่เล่นในเวลาเรียนเลย


เราพยายามทำอะไรให้ดูเข้ากับเด็กที่สุด
อย่างรูปข้างล่าง คือ เราสั่งชิ้นงานเด็ก
โจทย์ คือ วาดรูปสำนวนสุภาษิตที่ชอบ
และเราก็วาด(แบบเด็ก ๆ) ให้เด็ก ๆ ดูบนกระดาน
ซึ่งผลงานที่เด็กทำออกมานั้น เราปลื้มมาก ๆ
เพราะเด็กตั้งใจทำและออกมาน่ารักสมวัยจริง ๆ



เราสอนเด็กทั้งหมด 2 เดือนเต็ม ๆ
และประสบการณ์ที่ได้นั้นมีค่ามาก
ทุกครั้งที่เราเขียนบนกระดาน เราจะเขียนลายมือที่สวยที่สุด
และพูดกับเด็กเสมอว่า ครูอยากให้หนูเขียนลายมือสวย ๆ 
เวลาเราตรวจงาน เด็กคนไหนเขียนลายมือไม่สวย
เราจะให้เขาลบและเขียนใหม่ต่อหน้าเราทุกครั้ง
จนผลที่ได้ก็ออกมาเป็นแบบนี้


ตลอดระยะเวลา 2 เดือน เราแทบไม่เชื่อตัวเองเลย
ว่าเราจะอดทนที่จะต้องตื่นเช้า ยืนสอนติดกัน 3-4 คาบ 
หรือแม้กระทั่งหอบงานกลับไปตรวจที่บ้าน
เรายอมกลับบ้านดึก เพื่อสอนเด็กที่เรียนไม่ค่อยเก่ง ให้ได้ดีให้ได้
เราคิดเสมอว่า ลูกศิษย์เราทุกคนจะต้องได้ดี
เราอยากให้เขาประสบความสำเร็จ และสอบได้คะแนนดี ๆ
เราคิดแค่นี้จริง ๆ

และเพื่อน ๆ เชื่อไหม ? เราทำได้จริง ๆ
คะแนนสอบวิชาภาษาไทยปีนี้สูงมาก จนครูท่านอื่นยังตกใจ
เรานี่ภูมิใจตัวเองมากเลย แต่น่าเสียดาย
ที่เรามีเวลาสอนเด็กเพียงแค่ 2 เดือน และเวลาก็ผ่านไปเร็วเหลือเกิน
แต่สิ่งที่เราได้กลับมานั้นมันคุ้มค่าจริง ๆ

เราคิดว่า การเป็นครูนั้น ไม่ต้องตี ไม่ต้องดุ
แต่เด็กก็เชื่อฟังเราได้นะ
ตลอดเวลาที่เราสอน เราไม่เคยดุ และไม่เคยตีเด็กเลย
เราสอนเด็กด้วยความรัก และใจดีกับเด็กตลอด
เราพยายามทำทุกอย่างในห้องเรียนให้มันสนุก
ไม่ว่าจะเป็นการล้างจานข้าว การเข้าแถว
การส่งการบ้าน การเก็บเก้าอี้ หรือทำความสะอาดห้องเรียน
เราเองก็เคยเป็นนักเรียนมา เราไม่ชอบครูดุ ๆ
เราเลยไม่อยากดุเด็ก
เราเลยหาวิธีอื่น ๆ ให้เขาเชื่อฟังและจำได้ดีมากกว่าการดุและตี
เราสอดแทรกเกม เพลง และรอยยิ้มตลอดการสอน
และเราค้นพบแล้วว่า มันช่วยได้จริง ๆ
สำหรับใครที่กำลังจะเป็นครู
ลองนำทริคเล็ก ๆ นี้ไปลองทำดูนะคะ
เพราะสิ่งที่เราได้จากเด็กและการเป็นครูนั้น
มันคือ ความสุข
ความสุขที่หาไม่ได้จากที่ไหนทั้งนั้น











สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขได้
ก็มาจากความรักที่เด็กนักเรียนมีให้เรานั่นเอง
เราเชื่อว่า ถ้าครูทำให้เด็กรักมาก ๆ เขาจะเชื่อฟังเราทุกอย่างจริง ๆ
เขาจะทำตามที่เราสอนทุกอย่างเลย
และเราจะประสบความสำเร็จในการเป็นครูอย่างแท้จริง







ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่เข้ามาอ่านกันนะคะ
หวังว่าบทความนี้คงจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ ทุกคนน้า
สำหรับใครที่มีอะไรจะสอบถาม
หรือจะขอทริคต่าง ๆ ในการเป็นครูเพิ่มเติม
ก็สามารถคอมเม้นถามมาได้เลยนะค้า

แล้วเจอกันใหม่บทความหน้าค่ะ :)






วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

❥..แพลงกิ้งท่าสุดฮิต แฝงด้วยอันตราย

โย่ววววววทุกคน สวัสดียามบ่ายวันหยุดจ้า
เนื่องจากวันนี้เป็นวันฤกษ์งามยามดี (ใช่หรออออ)
แถ่น แท๊นนนน วันเกิดเราเองจ้า !!! ปุ้งปุ้ง
และวันนี้เราก็มีเรื่องมาอัพเดตให้เพื่อน ๆ ได้ติดตามกันด้วยน้า
เกริ่นก่อนว่า เมื่อเช้าไปทำบุญตักบาตรวันเกิดมา
พอทำบุญเสร็จ อยากถ่ายรูปวันเกิดตัวเองสักหน่อย
จะได้อัพลงเฟสบุ้ค ลงอินตราแกรม
แต่ปัญหาคือ ทำท่าไรดีน้าาาา ยืนเฉย ๆ ก็เบื่อ
ชู 2 นิ้วก็เชยเสียแล้วววว

และไอเดียก็บังเกิด ...
นั่นก็คือ ท่าแพลงกิ้ง !!!
เพื่อน ๆ ยังจำกันได้อยู่รึป่าวคะ ที่เป็นท่ายอดฮิตเลย
ซึ่ง "แพลงกิ้ง" ก็คืออ การนอนราบคว่ำหน้าบนพื้นที่แปลกๆ คล้ายกับคนเสียชีวิต โดยเป็นการทำท่าที่ยากพอสมควร เพราะต้องมีการจัดความสมดุลของร่างกายให้พอดี จากนั้นก็ถ่ายภาพอวดกันจนกลายเป็นเทรนด์อย่างหนึ่ง ที่เล่นกันสนุกสนานแพร่หลายในโลกออนไลน์ และเฟซบุ๊กทั่วโลก

จนแพร่ระบาดมาถึงเมืองไทยโดยผู้นำเทรนด์นี้มาเมืองไทยก็คือ
เหล่าดาราและเซเลบทั้งหลายนั่นเอง !!
มาดูตัวอย่างกันเลย
อั้ม พัชราภา

บอย ปกรณ์


บี้ เดอะสตาร์


สำหรับเทรนด์การทำท่าแพลงกิ้งนั้น เราชอบนะ
ดูมันแปลก แหวกแนวดี
สำหรับกระแสแพลงกิ้งนั้นก็มาแรงจริง ๆ ในช่วงนั้น
แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า บางคนทำท่าแพลงกิ้ง
ในสถานที่สุดหวาดเสียว ซึ่งเป็นอันตรายมาก ๆ
อันตรายขนาดไหน ไปดูภาพกัน !






เราว่าอันนี้มันดูแย่นะ เพราะเราเคยได้ยินข่าวว่า
เคยมีคนทำแพลงกิ้งที่ระเบียงตึก แล้วตกลงมาเสียชีวิต
ถ้าจะทำท่าแพลงกิ้ง ควรทำแต่พอดีดีกว่า
มันไม่คุ้มเลยที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยงขนาดนี้

เราว่าท่าแพลงกิ้งในสถานที่พิเรนท์ ๆ และอันตรายแย่แล้วนะ
มีแย่กว่านั้นอีก คือ ไม่เหมาะสม !
ไม่เหมาะสมยังไงหรอ ? ไปดูดีกว่า


OMGGGGGG !! เราเห็นรูปนี้ถึงกับตกใจเลย
เห้ยยยยย พระสงฆ์แพลงกิ้ง  - -"  มันไม่น่าใช่กิจของสงฆ์นะ
อันนี้เรารับไม่ได้จริง ๆ มันไม่เหมาะสมและดูเสื่อมมาก

อีกอันนึงที่รับไม่ได้จริง ๆ ก็คือ


โอ้ยยยยย อกอีแป้นจะแตก แก้ผ้าแพลงกิ้ง !!
คิดได้ยังไงกันคะแม่คุณณณณณ
อยากจะบอกว่า การกระทำแบบนี้นั้น
ผิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ด้วยนะคะ
เพื่อน ๆ อย่าลอกเลียนแบบกันนะคะ

สุดท้าย ขอฝากไว้นิดนึงว่า
หากมีเทรนด์แนวนี้มาอีก ขอให้เพื่อน ๆ 
คำนึงถึงความปลอดภัยและความเหมาะสม
ก่อนที่จะทำด้วยเด้ออออ  :)

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ
จุ้บ ๆ  >3<






วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

❥.. ice bucket challenge แคมเปญสุดสร้างสรรค์

สวัสดียามดึกค่ะเพื่อน ๆ
เพื่อน ๆ ยังจำ ice bucket challenge ได้อยู่ไหมคะ ?
ต้องบอกเลยว่า กระแสของ ice bucket challenge  นั้น
มาแรงจนฉุดไม่อยู่จริง ๆ และเป็นกระแสที่ยาวนานเหมือนกัน

ซึ่ง ice bucket challenge ก็คือ
แคมเปญการกุศลที่ทุกคนจะต้องเอาน้ำผสมน้ำแข็งเย็นจัดเทราดตัว 
ก่อนจะส่งคำท้าไปให้เพื่อน ๆ ต่อกันเป็นทอด ๆ 
ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการระดมทุน
ช่วยเหลือผู้ป่วยโรค ALS หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง


 โดยกระแสนี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว 
เพราะบุคคลที่ได้รับคำท้าล้วนแต่เป็นผู้มีชื่อเสียง 
ดารา เซเลบทั้งหลายทั่วทุกมุมโลก
ไม่ว่าจะเป็น ....

Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้งเฟสบุ้ค
หรือ Bill Gates ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์



ดาราฮอลีวู้ดชื่อดัง


นักร้อง บอยแบนด์และเกิลล์กรุ๊ปเกาหลี



ฝั่งไทยก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน
เหล่าดาราดังก็ยกขบวนมาร่วมแคมเปญนี้













ไม่เว้นแม้แต่นักข่าวชื่อดัง




 โดยผลตอบรับของแคมเปญนี้เรียกได้ว่า
ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม 
โดยไม่ต้องพึ่งเงิน หรือโฆษณาใด ๆ เลย

ส่วนกระแส Ice Bucket Challenge thailand 
ดาราคนดังบางคนเลือกเปลี่ยนบริจาค
ให้กับมูลนิธิฯ ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในประเทศไทยแทน

โดยส่วนตัวคิดว่า แคมเปญนี้มีประโยชน์มาก ๆ
เรียกเสียงฮา แต่ไม่ไร้สาระ แถมได้บุญ อิ่มใจ อีกต่างหาก
และคิดว่าคงเป็นต้นแบบให้กับแคมเปญอื่น ๆ อีกด้วย

แต่เมื่อเป็นกระแสดังเข้า วัยรุ่นไทยก็เริ่มที่จะ
ทำตามกระแสนั้น ๆ โดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะตามมา
บางคนเล่นเพราะเป็นกระแส โดยไม่คำนึง
ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริง

หากมีกระแสอื่น ๆ อีก
เราอยากให้ผู้เล่นคำนึงถึงจุดประสงค์หลัก
มากกว่าเล่นตามกระแส
เพราะบางแคมเปญ หากเล่นไม่ถูกวิธี
หรือเล่นพิเรนท์ ก็อาจทำให้เกิดอันตรายได้เช่นกัน

สุดท้ายเราอยากให้มีแคมเปญดี ๆ
ที่เป็นประโยชน์แบบ ice bucket challenge ขึ้นอีก
เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทั้งคนและสัตว์
ขอบคุณค่ะ  ^______^